วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561

ก.ล.ต. ไทยกล่าว Bitcoin Futures สามารถลงทุนได้ตามข้อตกลง ไม่ใช่การฟอกเงิน


ดูเหมือนว่าทาง ก.ล.ต. จะนำหน้าผู้ออกกฎหมายด้านการเงินในประเทศใกล้เคียงเราไปหลายก้าวในด้านการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่เข้ามาในประเทศ หลังจากที่ได้ออกมากล่าวผ่านสื่อกระแสหลักว่าผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์สำหรับลงทุนนาม Bitcoin Futures นั้นสามารถลงทุนได้อย่างอิสระผ่านสถานบันตัวกลางระหว่างประเทศ และไม่ใช่การฟอกเงิน

โดยอ้างอิงจากสื่อกระแสหลัก VoiceTV นางทิพยสุดา ถาวรามร ​รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่เห็นในข่าวเป็น Bitcoin Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า) ที่ก่อนหน้านี้เปิดตัวไปแล้วในตลาด CME และ Cboe ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสองตลาดนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศดังกล่าว อีกทั้งยังได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากคณะกรรมการกำกับตลาดฟิวเจอร์ส หรือ CFTC ดังนั้น นั่นจึงหมายความว่าบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยไทยสามารถให้บริการลูกค้าที่ต้องการลงทุนผ่านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในประเทศสหรัฐฯได้อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นตลาดที่อยู่ใต้กำกับขององค์กรสมาชิก International Organization of Securities Commissions (IOSCO) ที่มีข้อตกลงความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน

ที่น่าสนใจคือ ในรายงานยังได้มีการกล่าวถึงการที่ผลิตภัณฑ์ Bitcoin Futures “ไม่ใช่การฟอกเงิน” เนื่องจากว่ามีองค์กรที่กำกับนั้นได้มาตรฐานอยู่แล้ว อีกทั้งลักษณะของการซื้อขายสัญญานั้นไม่ใช่การซื้อขายเหรียญ BTC จริง ๆ จึงไม่สามารถใช้โอนมันออกนอกตลาดได้

โฆษณาที่คุณอาจสนใจ

กระนั้น ทาง ก.ล.ต. แห่งประเทศไทยก็ยังเตือนว่าตลาดดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในด้านความผันผวนของราคา แต่ไม่เพียงแค่นั้น ผู้คนยังสามารถ leverage (ยืมเงินเพื่อมาเทรดโดยอ้างอิงจากอัตรา margin ของเงินที่มีอยู่) ได้อีกด้วย ทำให้บริษัทตัวแทนผู้ให้บริการด้านการลงทุนฟิวเจอร์สในไทยต้องประเมินความเหมาะสมในการแนะนำลูกค้า โดยคำนึงถึงความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ ฐานะทางการเงิน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของลูกค้าด้วย

สำหรับในไทยนั้น ปัจจุบันบริษัทตัวแทนที่ช่วยเหลือลูกค้าในไทยในการลงทุนตลาด Bitcoin Futures ในสหรัฐฯอย่างเป็นทางการแล้วนั้นมีแค่เจ้าเดียว ซึ่งก็คือ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย)

ขอบคุณภาพจาก Fluck Kie

วันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561

เว็บเทรดคริปโต TDAX ประกาศแจกรางวัลจาก ZNode ให้ผู้ถือ ZCoin ที่อัตรา 70%

โฆษณาที่คุณอาจสนใจ

ในขณะที่หลาย ๆ ฝ่ายในประเทศไทยกำลังมองว่ากระแส cryptocurrency นั้นกำลังใกล้จะหมดอายุและสิ้นสุดลงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการแข่งขันในวงการดังกล่าวในประเทศไทยนั้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และดูเหมือนว่าจะรุนแรงเสียด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทางสยามบล็อกเชนได้รายงานถึงการประกาศแบ่งรางวัลจาก Znode ของเว็บผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญ cryptocurrency รายแรกของไทยอย่าง Bx ที่จะทำการแบ่งรางวัลจากการนำเอาเหรียญ ZCoin ของผู้ใช้งานทั้งหมดไปเปิด Znode มาแจกให้กับผู้ที่ถือ ZCoin บนเว็บ Bx ในอัตรา 50-50 โดยหากอ้างอิงจาก Twitter อย่างเป็นทางการของ Bx นั้น ปัจจุบันทางบริษัทมี Znode ที่เปิดจากเหรียญ Zcoin ของลูกค้าแล้วถึง 75 Znode ด้วยกัน

การเปิด Znode หรือ masternode นั้นคือการอุทิศตัว server ของตนเองให้กลายเป็น node ที่ช่วยในการเก็บข้อมูลประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดของเหรียญดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ที่จะเปิด masternode ได้นั้นจะต้องถือเหรียญดังกล่าวให้ถึงตามจำนวนที่ระบุไว้ (1,000 XZC ในกรณีของ Zcoin) และผู้ที่เปิด Znode นั้นก็จะได้รางวัลเป็นเหรียญคริปโต ซึ่งจะคล้าย ๆ กับการขุด

โฆษณาที่คุณอาจสนใจ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ทาง Bx ได้ประกาศจำนวนเรทการแบ่งรางวัลให้กับผู้ถือเหรียญ Zcoin ไปแล้วนั้น ทาง TDAX ก็ได้ออกมาประกาศต่อทันที โดยเผยว่าลูกค้าที่ทำการถือเหรียญ Zcoin ไว้บนเว็บเทรด TDAX นั้นก็จะได้รับรางวัลจาก Znode เช่นกัน แต่จะได้ในอัตราถึง 70% โดยจะแจกให้ในทุก ๆ 14 วัน ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม 2561 นี้ และทางผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องผ่านการยืนยันตัวตน KYC อีกด้วย โดยส่วนหนึ่งของประกาศกล่าวว่า

“Pooled Znodes จะเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม 2561 นี้! โดยลูกค้าที่ฝาก Zcoin (XZC) ไว้บน TDAX จะได้รับ rewards ทุกท่าน โดย rewards จะได้รับการแจกทุกๆ 14 วัน ซึ่งบัญชีผู้ใช้งานที่จะรับ rewards ไม่จำเป็นจะต้องผ่านการยืนยันตัวตน โดยท่านที่ได้ทำการฝาก Zcoin (XZC) ไว้บน TDAX จะได้รับ 70% ของ Znode rewards อีก 30% นั้นจะถูกนำมาใช้เพื่อเป็นต้นทุนในการัน nodes (การดูแลความปลอดภัย, ค่าเซิฟเวอร์, ระบบ, การแบ็คอัพ และอื่นๆ)”

คุณปรมินทร์ อินโสม หรือผู้ก่อตั้ง ZCoin และ TDAX กล่าวให้สัมภาษณ์กับทางสยามบล็อกเชนว่าสาเหตุที่แบ่งให้กับลูกค้าถึง 70% นั้นเพราะทางเว็บได้ทำการคำนวณค่าบำรุงรักษาแล้ว และค้นพบว่า 30% ที่เหลือนั้นเพียงพอต่อต้นทุน โดยเขากล่าวว่า

“ส่วน 70% คิดว่าเป็นสัดส่วนที่ทางเราสามารถ cover ค่า server, network, backup, security ได้ครับ”

ปัจจุบันราคาเหรียญ ZCoin บนตลาดโลกนั้นอยู่ที่ 110.28 ดอลลาร์ และมีมูลค่าตลาดรวมที่ 416 ล้านดอลลาร์ เหรียญดังกล่าวอยู่อันดับที่ 52 ของโลก อ้างอิงจาก Coinmarketcap

ในขณะเดียวกัน ราคาบนตลาด TDAX นั้นอยู่ที่ 4,404 บาท หรือ 135.42 ดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าราคาตลาดโลกอยู่พอสมควร

รัฐบาลดิจิทัล, เศรษฐกิจแบบสตาร์ตอัพ: บทเรียนจากเอสโตเนีย

เอสโตเนียเป็นประเทศที่เราอาจไม่ได้รู้จักมากนักในอดีต แต่ในทุกวันนี้ พอๆ กับที่เมื่อพูดถึงเรื่องการศึกษา ต้องอ้างอิงไปที่ฟินแลนด์ ประเทศที่ร่ำลือกันว่ามีการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก, เมื่อพูดถึง “รัฐบาลดิจิทัล” เราก็มักจะพบว่าชื่อของเอสโตเนียขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ เสมอ

กระทั่งเร็วๆ นี้ (ปลายเดือนมีนาคม) หน่วยงานของไทยอย่าง กสทช.ยังต้องจัดงานสัมมนาถอดบทเรียนจากประเทศเอสโตเนีย ในการใช้บล็อกเชนเข้ามาปฏิวัติวงการต่างๆ ทั้งงานราชการ รัฐบาล และเอกชน จนเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีภาคส่วนไหนในเอสโตเนียที่โลกดิจิทัลจะเข้าไปแตะไม่ถึง

หากนับการแยกขาดจากสหภาพโซเวียตเป็นก้าวที่หนึ่งแล้ว เอสโตเนียก็ถือเป็นประเทศใหม่ เพราะเพิ่งได้รับสถานะดังกล่าวในปี 1991 นี้เอง (นับถึงปัจจุบันก็ประมาณ 25-26 ปี) แต่หลังจากวันนั้น เอสโตเนียก็ปฏิรูปตนเองด้านดิจิทัลมาโดยตลอดจนเป็น “ที่หนึ่ง” ในหลายๆ อย่าง ก่อนที่จะเข้าร่วมกับสหภาพยุโรปในปี 2004 ด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจำนวนประชากรที่มีไม่มาก (1.3 ล้านคน) และความเป็น “ประเทศใหม่” ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งสถาบันต่างๆ ในช่วงอินเตอร์เน็ตเฟื่องฟูพอดี, แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำของเอสโตเนียก็มีส่วนอย่างมากในการผลักดันเรื่องนี้

วิทยากรในวันงาน “บล็อกเชน เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก บทเรียนความสำเร็จจากกรณีศึกษารัฐบาล
เอสโตเนีย” จัดขึ้นโดย กสทช. คุณแอนนา พีเพอรัล (Anna Piperal) Manager Director ของ E-Estonia Showroom เริ่มการบรรยายด้วยการพูดถึงประเทศเอสโตเนียกว้างๆ ว่าเป็นประเทศที่ไม่ได้มีทรัพยากร ธรรมชาติอะไรโดดเด่นนัก แถมยังมีอากาศที่ย่ำแย่เกือบทั้งปีอีกด้วย แต่ด้วยผู้นำที่แข็งแกร่ง และมีความเป็นดิจิทัล จึงทำให้เอสโตเนียสามารถผลักดันกระบวนการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้โดยใช้เวลาไม่นาน (ประมาณ 20 ปี) จนปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Country) อันดับหนึ่ง

ตัวอย่าง ‘ความเจ๋ง’ ของเอสโตเนีย เช่น

-คุณสามารถเปิดบริษัทได้ใน 18 นาที และเปิดบริษัทที่ไหนก็ได้ในโลก (ไม่จำเป็นต้องไปยื่นที่ประเทศ
เอสโตเนีย) เพราะเอกสารต่างๆ นั้นออนไลน์ทั้งหมด คุณแอนนาบอกว่า “การทำธุรกิจนั้น ก็มีความยุ่งยากซับซ้อนเหมือนกันกับทุกที่แหละค่ะ แต่ถ้าเป็นเรื่องงานเอกสาร การดำเนินการต่างๆ ของเราก็จะง่ายกว่าที่อื่น”

-ธนาคารออนไลน์เกือบทั้งหมด ธุรกรรมเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ 99%

-สามารถยื่นภาษีออนไลน์ได้ โดยมีการยื่นภาษีออนไลน์มากถึง 98% สามารถยื่นได้ภายใน 3 นาที มีผู้เขียนถึงวิธีการยื่นภาษีของเอสโตเนียในเว็บไซต์ The Atlantic ว่า ง่ายมาก เพียงกด Next, Next, Next ก็เสร็จแล้ว ต่างจากการยื่นภาษีของไทย ที่ถึงแม้ออนไลน์ได้ก็จริง แต่ว่าผู้กรอกแบบฟอร์มภาษีจะต้องกรอกข้อมูลจำนวนมาก เพราะข้อมูลธุรกรรมต่างๆ ไม่ได้ “ไหลเวียน” ถึงกัน และยังเห็นว่าหลักฐานกระดาษ (เช่น ใบเสร็จ ใบลดหย่อนภาษี) นั้นยังเป็นหลักฐานที่สำคัญอันดับหนึ่ง

-เมื่อพูดถึง “หลักฐานกระดาษ” เอสโตเนียเห็นว่ากระดาษนั้นสำคัญเป็นลำดับสอง รองจากหลักฐานดิจิทัล มีการออกลายเซ็นดิจิทัล (DIgital Signature) ซึ่งมีพลังทางกฎหมายเท่ากับการเซ็นเอกสารที่ใช้หมึก มีความปลอดภัยสูงกว่า และคุณแอนนาอ้างว่า การปรับมาใช้ลายเซ็นดิจิทัลร่วมกับระบบดิจิทัลของหน่วยงานราชการนั้น มีผลทำให้ประหยัดงบประมาณคิดเป็น 2% ของ GDP ของประเทศเลยทีเดียว (เทียบจากจำนวนชั่วโมงของเจ้าพนักงานที่ลดลงไป)

-เอสโตเนียจัดการเลือกตั้งออนไลน์ (i-voting) เป็นประเทศแรกในโลก มีการลงคะแนนเสียงออนไลน์มากถึง 30% (เริ่ม i-voting ปี 2005)

-ตำรวจของเอสโตเนียทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น 50 เท่า พวกเขาไม่สามารถ “สุ่มตรวจ” รถยนต์ได้ หากไม่มีเหตุผล สามารถตัดสินใจว่าจะตรวจหรือไม่ตรวจใครคนใดคนหนึ่งได้รวดเร็ว เพราะสามารถเข้าถึงข้อมูลเบื้องหลังของคุณผ่านทางฐานข้อมูลได้ทันที

-การเคลื่อนไหลไปมาอย่างอิสระ หรือมีแรงเสียดทานน้อยที่สุดของข้อมูล ทำให้เกิดบริการที่น่า “อัศจรรย์ใจ” หลายอย่างเช่น เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งคลอดลูก โรงพยาบาลนั้นๆ จะส่งข้อมูลลูกที่เกิดใหม่ไปยังระบบราชการและรัฐบาลทันที ลูกจะมี ID (หมายเลขประจำตัว) ทันที และระบบก็เชื่อมกันขนาดที่ว่าจะสามารถคำนวณสิทธิ ค่ารักษาพยาบาล รวมถึงส่วนลดหย่อนภาษีของผู้หญิงคนนี้ได้ใหม่ทันที ระบบโรงพยาบาลดิจิทัลทำให้มีความแออัดยัดเยียดในอาคารโรงพยาบาลลดลง 3 เท่า จากที่ก่อนหน้านี้คนไข้จะต้องมาต่อคิวเพื่อรับใบสั่งยา หรือเอกสารทางการแพทย์ต่างๆ แต่ตอนนี้สามารถทำอย่างเดียวกันผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้แล้ว

-กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น การขึ้นรถสาธารณะ หรือการจ่ายค่าจอดรถตามมิเตอร์สาธารณะ ก็สามารถทำได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือเช่นกัน

-ยังไม่นับกับการที่เอสโตเนียออกโครงการ “พลเมืองดิจิทัล” ให้กับคนทั่วไปทั่วโลก โดยคุณก็สามารถเข้าไปสมัครเป็นพลเมืองดิจิทัลของเอสโตเนีย (ซึ่งจะทำธุรกรรมต่างๆ ออนไลน์ได้ ทำธุระกับภาครัฐได้) โดยดูข้อมูลได้จาก https://e-estonia.com/e-residents/about แน่นอนว่าการพัฒนาประเทศมาสู่จุดที่ “ทุกอย่างอยู่บนอินเตอร์เน็ต” ได้นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องง่าย แต่ต้องอาศัยความเข้าใจจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวเจ้าหน้าที่ นักออกแบบระบบ และประชาชน

มีคำกล่าวว่า “เอสโตเนียเป็นประเทศสตาร์ตอัพ-ไม่ใช่เพียงในการทำธุรกรรมต่างๆ เท่านั้น-แต่เป็นประเทศสตาร์ตอัพตั้งแต่วิธีคิด (mindset) เลยทีเดียว”

หากจะหวังให้ประเทศไทยมี “เศรษฐกิจสตาร์ต อัพ” เป็น “รัฐบาลดิจิทัล” ไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” ก็อาจต้องเริ่มที่วิธีคิด ตั้งแต่ส่วนปกครองไล่ลงมาก่อนเช่นกัน เช่น เปิดข้อมูลภาครัฐให้สามารถเข้าถึงได้ทั่วไป ให้มีการแข่งขันการพัฒนาระบบเข้าไปเชื่อมต่ออย่างอิสระ ไม่จำกัดเฉพาะผู้เล่นรายใหญ่เท่านั้น และมีความเชื่อมั่นต่อประชาชน

ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

งานไร้ออฟฟิต

Phil Pallen นักการตลาด นักการประชาสัมพันธ์ และนักกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ เดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังเมืองหนึ่งเพื่อพบลูกค้าบุคคลไปจนถึงบริษัท ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์องค์กรแบบดั้งเดิมและในสื่อสังคมออนไลน์ 

Phil เล่าว่า ไม่กี่สัปดาห์ก่อน เขาใช้ชีวิตบนเครื่องบินร่วม 41 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เดินทางไปรอบโลก เริ่มตั้งแต่นครลอสแองเจลีส ยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชีย และบินกลับมาลอสแองเจลีสอีกครั้ง แต่ที่น่าประหลาดใจกว่า คือ Phil ไม่มีออฟฟิศประจำเป็นของตัวเอง!





Phil ใช้ออฟฟิศร่วมของบริษัท WeWork ที่มีมากถึง 200 แห่ง ใน 50 เมืองทั่วโลก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของผู้คนใน Silicon Valley Hub ด้านเทคโนโลยีของโลกในซานฟรานซิสโก ที่มีบริษัทส่วนกลางดูแลเป็นออฟฟิศรองรับบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีหลายเจ้าพร้อมกัน

Charles Du ผู้จัดการด้านสินค้าซอฟต์แวร์ในแคลิฟอร์เนีย เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "Digital Nomad" หรือ "พนักงานไร้ออฟฟิศ" ที่ใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงาน อาทิ ผู้จัดการด้านเทคโนโลยี นักการตลาด นักประชาสัมพันธ์ นักบัญชี นักกฎหมาย อาจารย์มหาวิทยาลัยในคอร์สเรียนออนไลน์ 

อาชีพเหล่านี้ส่วนใหญ่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่มีภารกิจหลักๆ คือการเดินทางไปพบลูกค้าหรือลูกความในที่ต่างๆ ซึ่งพวกเขาสามารถเข้าไปใช้พื้นที่ออฟฟิศร่วมที่มีอยู่ต่างเมืองต่างประเทศได้ 

โดยต้องการเพียงพื้นที่ออฟฟิศ Wi-Fi และอุปกรณ์ทำงานที่จำเป็นอื่นๆ 

Digital Nomad
Digital Nomad

ด้าน John Maeda อดีตอาจารย์จาก MIT และอดีตคณบดีของคณะออกแบบ มหาวิทยาลัย Rhode Island บอกว่า การทำงานทางไกลแบบ Digital Nomad ช่วยปรับเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้มีการทำงานเชิงถ่ายทอดองค์ความรู้ แทนการพึ่งพากำลังแรงงานที่หาได้เฉพาะในพื้นที่เท่านั้น 

ขณะที่ข้อจำกัดของกลุ่มคนที่ทำงานโดยไม่พึ่งพาออฟฟิศ คือ การหาออฟฟิศชั่วคราวในต่างเมือง ที่พัก เพื่อนฝูง แต่ทุกอย่างอาจหามาได้ไม่ยากเมื่อมีอินเทอร์เน็ต 

และตอนนี้ก็มีหลายเมืองที่กำลังรองรับพนักงานเหล่านี้ ได้แก่ เมือง Ubud บนเกาะบาหลีของอินโดนีเซีย และจังหวัดเชียงใหม่ของประเทศไทย

Digital Nomad มีศักยภาพท่ามกลางการแข่งขันในตลาดท้องถิ่นและในระดับโลกที่เข้มข้นขึ้น เพราะสามารถผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ผู้คนทั้งในและต่างประเทศได้ 

ซึ่งนักการตลาดและนักกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ อย่าง Phil เชื่อมั่นว่า การได้เปิดหูเปิดตาในหลากหลายพื้นที่ ทำให้เขาได้รู้จักการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วโลก และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของเขาได้นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560

สำเร็จหรือล้มเหลว....!


ถ้าเรามีเป้าหมายในชีวิตที่ใหญ่ อุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิตก็จะดูเล็ก 
ถ้าเรามีเป้าหมายที่เล็กอุปสรรคในชีวิตก็จะใหญ่
คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคในชีวิต
และสิ่งที่เรียกว่า"โชคชะตา"
เขาเชื่อว่าสิ่งต่างๆในชีวิตเขานั้นเป็น"ความโชคดี"เสมอ
เป็นคนมองโลกในแง่บวกอยู่ตลอดเวลา 
การมองโลกในแง่บวก คือการ"หาจุดดีในจุดเสีย"
ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วย
และสิ่งที่สำคัญที่ทำให้คนไม่ประสบความสำเร็จเลยคือ "ความกลัว"
ที่นโปเลียน ฮิลล์ ผู้เขียน think and grow rich กล่าวไว้ว่า
มีปีศาจแห่งความกลัว 6 ประการ ที่จะทำให้คนไม่สำเร็จ
นั่นคือ กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย 
กลัวคำวิพากษ์วิจารณ์ กลัวการสูญเสียความรัก กลัวจน
การที่คนหลายคนไม่ก้าวไปตามความฝันก็เพราะความกลัว 6 ประการนี้
และสุดท้ายทำให้เขามีชีวิตเหมือนคนส่วนใหญ่บนโลก ที่ใช้ชีวิตไปตามกระแส
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นคนส่วนน้อย ที่กล้าสวนกระแสของโลกใบนี้
ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในชีวิตบ้างก็ต้อง
"คิดอย่างคนประสบความสำเร็จคิด ทำอย่างที่คนประสบความสำเร็จทำ"
ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นไปตามหลักเหตุและผล
ถ้าเราอยากได้"ผล" เราก็ต้องทำ"เหตุ"ให้ดี
ถ้าเราไปถามคนที่ไม่เคยสำเร็จในเรื่องนั้นๆ เราจะได้สิ่งที่เรียกว่า "ข้อคิดเห็น"
"ข้อคิดเห็น"ไม่มีถูกหรือผิดและ"เป็นจริงเสมอสำหรับคนๆนั้น"
การที่เราเลือกจะเชื่อใครสักคน ดูที่"ผลลัพธ์"
ถ้าเราอยากเป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่สำเร็จ เราคงไม่ไปถามคนว่ายน้ำไม่เป็น
เพราะคนเหล่านั้นจะตอบว่า ...
"อย่าลงไปเลย น้ำมันน่ากลัว นายโดดลงไปก็ตายแน่้"
นั่นเป็นสิ่งที่"คนส่วนใหญ่"ทำกัน
และบางคนทำสิ่งเหล่านี้อยู่ทุกวัน ทั้งๆที่ไม่รู้ว่า
ตัวคุณกำลังไปถามคน"ว่ายน้ำไม่เป็น" อยู่
ถามตัวเองว่าวันนี้คุณยังทำแบบนั้นอยู่ไหม?
เพราะฉะนั้น เวลาคุณจะเลือกทำอะไร
ต่อไปให้"ถามผู้ประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ"
ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่คุณอยากทำ
บางครั้งเราดูคนประสบความสำเร็จ ดูเหมือนสิ่งที่เขาได้มานั้น
เป็นเพราะเขา"เก่ง" เราชอบนึกว่า 
"ใช่สิ ก็เขาเก่งนี่ ฉันไม่เก่งฉันทำไม่ได้อย่างเขาหรอก"
คุณรู้ไหมว่า มีสิ่งคนสำเร็จต่างจากคุณสุดขั้วเพียง 1 ข้อ
ไม่ใช่"ความเก่ง" แต่เป็น "ความเชื่อ" 
เขาเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ว่าเขา "ทำได้"
และเขา"ลงมือทำ"สิ่งที่จะทำให้เข้าใกล้เป้าหมายของเขาไปเรื่อยๆ ทุกๆวัน
วันละเล็กละน้อยการที่เขาบรรลุเป้าหมายเล็กๆของเขาทุกวันนั้น
มันเหมือนลูกบอลหิมะ ที่ค่อยๆกลิ้งลงมาจากภูเขา
สักวันมันจะกลายเป็นหิมะถล่มที่ยิ่งใหญ่
เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มาจากการที่เราบรรลุเป้าหมายเล็กๆ ในทุกวัน
และสิ่งสำคัญอีกข้อ ที่คนประสบความสำเร็จ แตกต่างจากคนอื่นๆคือ
"การยืนหยัด"คนที่ล้มเหลวมักจะัเกิดจากการ"ล้มเลิก"
ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้น
ถือเป็นเรื่อง"ชั่วคราว" เพราะเขาจะคิดว่า 
"นี่คือสิ่งที่จักรวาล มอบให้เรา เพื่อให้เราเรียนรู้มากขึ้น
เราโชคดีจริงๆ ที่ได้เรียนรู้เรื่องนี้ในวันนี้ 
วันข้างหน้าเราจะได้ไม่ทำผิดพลาดในเรื่องเดิมๆ"

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560


1.การวิจัยการตลาด เพื่อศึกษาข้อมูล ในการทำธุรกิจถือเป็นสิ่งสำคัญ ในการเริ่มต้นทำธุรกิจ ให้ประสบผลสำเร็จ
2.การศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มเป้นหมาย จะทำให้เห็นช่องทาง ในการทำธุรกิจ ที่ตอบโจทย์ ความต้องการ ของกลุ่มเป้าหมายได้
3.การทำธุรกิจที่ดี ต้องเข้าจจุดเด่นของสินค้า และ ความสำคัญของสินค้า
4.การนำสินค้าไปขายถึงกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเพิ่มยอดขาย ได้อย่างรอดเร็ว 
5.การบริการลูกค้าด้วยมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ 
6.สิ่งสำคัญที่สุดของคนเรา 1. ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง 2. ต้องมีความพยายาม ขอแค่พยายาม และคุณจะมีทุกอย่าง
7.การทุ่มเท ให้กับงานอย่างเต็มที่ แล้วจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ
8.ความสำเร็จอาจทำให้เราภาคภูมิใจ แต่ความผิดผลาดต่างหากที่ทำให้เราเติมโต
9.อุปสรรคเป้นเพียงบททดสอบ ที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้
10.สิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จ คือ ต้องรักในสิ่งที่ทำ และทุ่มเท
11.ทุ่มเทให้กับงาน อย่างเต็มที่ แล้วจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ
12.ทีมงาน Teamwork เป็นสิ่งสำคัญ ธุรกิจดี ทีมงานไม่ Work จบ
13.การออกแบบสินค้าให้มี ความโดดเด่น และแตกต่าง สามารถดึงดูดความสนใจ ของลูกค้า
14.การเริ่มต้นทำธุรกิจ ต้องมีความเชื่อมั่น และตั้งใจทำให้ดีที่สุด 
15.การวิจัยตลาดเพื่อศึกษา ข้อมูลในทำธุรกิจ ถือเป็นสิ่งสำคัญ ในการทำธุรกิจ
15.ช่องว่างทางธุรกิจ มีอยู่รอบตัว สังเกตุและนำมาใช้ พัมนาให้แตกต่าง
16.ถ้าเราไม่หยุดคิด ความสำเร็จ จะมาถึง
17.พละกำลัง ไม่สำคัญเท่าสมอง ขอแค่แปร จุดด้อย ให้เป็นจุดแข็ง
18.ถ้าเกิดปัญหาอย่าท้อถอย ค้นหาจุดบกพร่อง ให้เจอ แล้วแก้ไขพัฒนา ให้ดีขึ้น
19.ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นไม่มีอุปสรรค แล้วมันจะยิ่งใหญ่ได้อย่างไร 
20.ยิ่งคุณช่วยเหลือผู้อื่นได้มาก ความสำเร็จของคุณก็ยิ่งใหญ่มาก
21.คำว่า เป้นไปไม่ได้ อยู่ในพจนานุกรม ของคนที่ยอมแพ้
22.ไม่มีใคร ทำให้เรา ต้อยต่ำได้ ถ้าเราไม่ยินยอม
23.ชีวิตไม่ใช้การค้นหาตัวตนของเรา แต่มันคือการสร้างตัวตนของเราให้ดีขึ้น 
24.คนที่ประสบความสำเร็จนั้นเคยล้มเหลว แต่ไม่เคยยอมแพ้
25.มนุษย์เรามีศักยภาพกันทุกคน เพียงแต่คุณยังไม่ค้นพบ สิ่งนั้น ถ้าคุณยังไม่มีเป้าหมาย และลงมือทำอย่างตั้งใจ
26.ไม่ว่าคุณอยู่ธุรกิจอะไร จะมีคนคอยบั่นทอนกำลังใจอยู่เสมอ ดังนั้นคุณต้องเอาชนะให้ได้ ในแบบตัวเอง
27.อย่าจมอยู่ กับความล้มเหลว แต่จงออกไปเผชิญหน้ากับมัน
28.หากคุณทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ ก็ทำสิ่งเล็กๆ ด้วยความยิ่งใหญ่แทน
29.สิ่งที่แย่ที่สุด ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการที่หลงคิดว่า ตัวเองไม่เอาไหน
30.คุณอย่างคิดว่า จะให้ ลามาแทนม้า ลาก็คือลา คุณจะสอนปลาให้ปีนต้นไม้ การใช้คนเช่นกัน ทุกคนความสามารถไม่เท่าเทียมกัน
31.ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุด ในสิ่งที่เลือกยืน
32.ความเลี่ยง คือ การไม่รู้ว่า ตัวเองทำอะไรอยู่
33.การลงทุนไม่ได้วัดกันที่อายุ ยิ่งเริ่มต้นเร็ว โอภาสที่จะประสบความสำเร็จ ฏ็มากกว่าคนอื่น
34.เงินไม่ได้ทำให้เกิดความคิด แต่ความคิดต่างหากที่ทำให้เกิดเงิน
35.ให้เงิน ทำงานแทนเรา หรือ ให้เราทำงานเพื่อได้เงิน การลงทุน หลายทางเพื่อลดความเสี่ยง
36.ความลับของความสำเร็จ คือการทำงานของคุณ ให้เหมือวันหยุดของคุณเอง
37.โอกาสที่ดี คุณไม่สมารถมองเห้นด้วยตา แต่คุณจะมองผ่านทัศนคติ
38.ลองมองปัญหาเหมือนเม็ดทราย ถึงจะเยอะมาก แต่ก็เล็กนิดเดียว
39.การทำในสิ่งที่เราชอบ จะทำให้เรามีความสุข และ งานที่ออกมา มีประสิทธิภาพ
40.ไม่มีความหวังที่มากเกินไป แต่การลงมือทำน้อยไป 
41.สิ่งที่เป็นไปได้ยาก ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็น ไปไม่ได้ 
42.งานบางอย่าง ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องทำงานเป็นทีม และแบ่งปั่นความสำเร็จไปด้วยกัน
43.อย่ากลัวกับการเริ่มต้นใหม่ ในเมื่อคนเราสมารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้
44.สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือ โอกาสเพราะโอกาสไม่ได้มาหากันได้ง่ายๆ 
45.แค่คุณมีใจเริ่มต้นที่ดี ทุกอย่างก็สำเร็จขึ้นได้
46.คนเราจะพบโอกาสและโชคช่วยได้ ก็ต่อเมือลงมือทำ ไม่ใช้รอคอย
47.สินค้าที่ดี จะขายดัวยตัวมันเอง 
48.4P (Product , Price , Place , Promotion) สินค้าดี มีความแตกต่าง ราคาจบต้องได้ จุดขายเข้าถึงผู้บริโภค การลดราคา โฆษณา
49.หาช่องทางการขายที่เหมาะสม จัดเตรียมโปรโมชั่นกระตุ้นการซื้อ จำลูกค้า/รักษาลูกค้าไว้
50.สร้างความน่าเชื่อถือให้ร้านค้า ให้ข้อมูล แนะนำในสิ่งที่ดี แถมของเล็กๆ น้อยๆ